วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การบินไทย


บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: Thai Airways International) เป็นสายการบินทั้งภายในและระหว่างประเทศ และมีสภาพเป็นกิจการการบินแห่งชาติของประเทศไทย ในปัจจุบัน เริ่มบินเที่ยวแรกวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 และมีดอกกล้วยไม้เป็นสัญลักษณ์ประจำการบิน
การบินไทยเป็นสายการบินแรกในเอเชียที่บินเส้นทางกรุงเทพ-ลอนดอน (ฮีทโธรว์) สายการบินไทยได้เปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพ-ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นเส้นทางที่บินไกลเป็นอันดับที่ 7 ของโลกโดยไม่แวะพัก ด้วยเครื่องบิน A340-500 และเป็นสายการบินที่ใช้เครื่องบิน B777-200 บินตรงไกลที่สุดในเส้นทางกรุงเทพ-บริสเบน ส่วนเส้นทางกรุงเทพ-เอเธนส์เป็นเส้นทางบินตรงไกลที่สุดสำหรับเครื่องบิน ชนิดฺ B777-300


การบินไทยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากองค์การอนามัยโลกว่าด้วยสุขอนามัยบนเครื่องบิน


ประวัติการบินไทย


เส้นเวลา
พ.ศ. 2502 บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด (TAC - Thai Airways Company Limited) ได้ร่วมกันทำสัญญาร่วมทุนกับสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ (SAS - Scandinavian Airlines System) ก่อตั้งสายการบินไทยเพื่อดำเนินธุรกิจการบินระหว่างประเทศ (บดท. หุ้น 70% เอสเอเอส หุ้น 30%)
พ.ศ. 2503 การบินไทยได้ทำการเปิดเส้นทางบินจากกรุงเทพฯไปยังเมืองต่างๆในเอเชียอีกจำนวน 11 เมือง และการบินไทยยังได้นำเสนอสัญลักษณ์ซึ่งเป็นรูปตุ๊กตารำ ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2503 บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ได้ถือหุ้นร้อยละ 70 และสายการบินสแกนดิเนเวีย ได้ถือหุ้นร้อยละ 30 ของทุนจดทะเบียน จำนวน 2 ล้านบาท โดยมีพนักงานเพียง 500 กว่าคน ได้เช่าเครื่อง DC-6B จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 3 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินแบบใบพัด
HS-TGA “สุรนารี”
HS-TGB “เทพสตรี”
HS-TGC “ศรีสุนทร”
และในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 การบินไทยได้ทำการบินเที่ยวบินแรกไปยังฮ่องกง-ไทเป-โตเกียวด้วยเครื่อง DC-6B ซึ่งมีผู้โดยสารเต็มเครื่อง 60 คน เดินทางออกจากท่าอากาศยานดอนเมืองเวลา 12.00
พ.ศ. 2504 การบินไทยได้ทำสถิติมีผู้โดยสารใช้บริการกว่า 83,000 คน ได้สร้างเอกลักษณ์ของบริการเอื้องหลวง (Royal Orchid Service) และหม่อมเจ้าไกรสิงห์ วุฒิไชยได้ออกแบบชุดไทยสำหรับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าไหมไทย และได้เช่าเครื่อง DC-6B จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 1 ลำ (HS-TGD “ศรีสุริโยทัย” คืน HS-TGA “สุรนารี” สายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป)
พ.ศ. 2505 การบินไทยได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 2 ล้านบาทเป็น 40 ล้านบาท และได้เช่าเครื่อง Convair 990 Coronado จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 1 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินไอ่พ่นและเครื่องที่มีสมรรถนะเร็วที่สุดในเวลานั้น มีจำนวน 99 ที่นั่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ของเครื่องบินลำนี้ (HS-TGE “ศรีสุริโยทัย” คืน HS-TGD “ศรีสุริโยทัย” สายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป)
พ.ศ. 2506 การบินไทยได้เปลี่ยนเป็นพันธมิตรกับหลายๆ สายการบินในเอเชีย เพื่อเพิ่มเที่ยวบิน จากกรุงเทพฯ-ฮ่องกง-กรุงเทพฯ-กัลกัตตา-กรุงเทพฯ-สิงคโปร์ และได้เช่าเครื่อง Caravelle lll จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 1 ลำ (HS-TGF “สุรนารี” คืน HS-TGB “เทพสตรี” สายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป)
พ.ศ. 2507 การบินไทยได้เช่าเครื่อง Caravelle SE-210 จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 1 ลำซึ่งเครื่องลำนี้สร้างขึ้นในฝรั่งเศส มีจำนวน 72 ที่นั่ง (HS-TGG “เทพสตรี” คืน HS-TGC “ศรีสุนทร” และ HS-TGE “ศรีสุริโยทัย” สายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป) การบินไทยได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังโอซาก้า และต่อมาได้เช่าเครื่อง DC-9-4 จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ (ได้คืน Caravelle SE-210 สายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป)
พ.ศ. 2508 การบินไทยได้ทำกำไรได้เป็นปีแรกถึง 3.9 ล้านบาท และต่อจากปีนั้นมาจนถึงปัจจุบันการบินไทยก็ทำกำไรได้ติดต่อมาตลอดทุกปี การบินไทยได้เช่าเครื่อง Caravelle lll จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 1 ลำ - HS-TGH “ศรีสุนทร” สายการบินแอร์สยามซึ่งเป็นสายการบินเอกชนซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2508 ซึ่งในช่วงแรกได้เปิดเส้นทางบินไปถึงลอสแองเจลลีสโดยผ่านเมืองโตเกียวและฮอนโนลูลู และหลายๆเมืองในเอเชียแต่ก็ล้มเลิกไปเนื่องจากขาดทุนและกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งโดยเปิดเส้นทางกรุงเทพฯ-ฮ่องกง-โตเกียว-ฮอนโนลูลู และได้เปิดเส้นทางบินไปยังลอสแอนเจลิสอีกครั้งโดนผ่านฟูกุโอกะ ต่อมาบริษัทประสบปัญหาหลายอย่างจึงทำให้บริษัทให้เช่าเครื่องบินเอาเครื่องบินกลับไป จึงทำให้แอร์ สยามถูกยึดใบอนุญาต จนล้มและเลิกทำการบินไปในที่สุดในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520
พ.ศ. 2509 การบินไทยได้เช่าเครื่อง Caravelle SE-210 จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 5 ลำและได้เช่าเครื่อง Caravelle lll จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 1 ลำ ซึ่งนับเป็นสายการบินในเอเชียสายแรกที่ทำการบินด้วยเครื่องไอพ่นทั้งหมด และมีนักบินที่เป็นคนไทยแล้วเนื่องจากก่อนหน้านี้การบินไทยจะใช้นักบินของสายการบินสแกนดิเนเวียแอร์ไลน์ทำการบิน และการบินไทยได้มอบตำแหน่งพนักงานรับบนเครื่องบินกิตติมศักดิ์ให้กับนางงามจักรวาลปีพ.ศ. 2509 ชาวไทย อาภัสรา หงสกุล
HS-TGI “จิรประภา” (เครื่องบินลำนี้ได้เกิดอุบัติเหตุตกที่ฮ่องกงระหว่างนำเครื่องลงจอดท่ามกลางพายุฝนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2510
พ.ศ. 2510 การบินไทยได้บริการผู้โดยสารครบ 1 ล้านคน จึงทำให้การบินไทยเปิดเส้นทางใหม่ไปยังบาหลี และได้เช่าเครื่อง Caravelle SE-210 จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 2 ลำ
HS-TGL “ศรีจุฬาลักษณ์” (แทน HS-TGI “จิรประภา”)
HS-TGK “เทพามาศ”
พ.ศ. 2511 การบินไทยเปิดเส้นทางใหม่ไปยังกาฐมาณฑุ, โซล, และนิว เดลลี จากความสำเร็จในการเที่ยวบินไปบาหลี
พ.ศ. 2512 การบินไทยประสบความสำเร็จในการบริการด้วยเครื่องบินไอพ่นทั้งหมด
พ.ศ. 2513 การบินไทยได้ต่อสัญญากับสายการบินสแกนดิเนเวีย อีกครั้ง ซึ่งได้ร่วมทุนก่อตั้งการบินไทยมา 10 ปีและจะต่อสัญญาไปอีก 7 ปี จึงเช่าเครื่อง DC-9-41 และ DC8-33 จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 2 ลำซึ่งสมรรถนะดีและประหยัดยิ่งขึ้นมาบริการ
HS-TGM “สุดาวดี”
HS-TGN “ศรีสุพรรณ”
เครื่อง DC8-33 จาก Internatonal Airlease จำนวน 4 ลำ
HS-TGO “ศรีจุฬาลักษณ์”
HS-TGP “ศรีสุนทร”
HS-TGR “สุรนารี”
HS-TGS “เทพสตรี”
(HS-TGF “สุรนารี”, HS-TGG “เทพสตรี”, HS-TGH “ศรีสุนทร”, และ HS-TGL “ศรีจุฬาลักษณ์” ได้คืนสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป) และการบินไทยยังทำการเริ่มรายการรอยัล ออร์คิด ฮอลิเดย์ ซึ่งเป็นรายการท่องเที่ยวพิเศษ ให้นักท่องเที่ยวเลือกสถานที่และวันเดินทาง ในราคาประหยัด
พ.ศ. 2514 การบินไทยได้เริ่มทำการบินข้ามทวีปเส้นทางแรกในเส้นทางกรุงเทพฯ-สิงคโปร์-ซิดนีย์ ซึ่งได้เช่าเครื่อง DC8-33 จาก Internatonal Airlease จำนวน 1 ลำ
HS-THT “สุดาวดี”
(HS-TGM “สุดาวดี” ได้คืนสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป)
พ.ศ. 2515 การบินไทยได้เริ่มทำการบินข้ามทวีปเส้นทางที่ 2 ในเส้นทางกรุงเทพฯ-โคเปนเฮเกน และได้ติดตั้งเครื่องฝึกบินที่มีระบบควบคุมอัตโนมัติรุ่น DC8-33 ซึ่งเป็นศูนย์อบรมนักบินแห่งใหม่ของการบินไทยและแห่งแรกของประเทศไทย นอกจากนั้นยังเปิดบริการอาหาร เครื่องดื่ม และภัตตาคาร ในท่าอากาศยานดอนเมือง
พ.ศ. 2516 การบินไทยได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังสู่ลอนดอน, แฟรงเฟิร์ต และได้พัฒนาท่าอากาศยานดอนเมืองเป็นศูนย์กลางการบินระหว่างยุโรปและเอเชีย ซึ่งได้ตั้งร้านค้าปลอดภาษีภายในท่าอากาศยานด้วยซึ่งได้เช่าเครื่อง DC8-33 จาก Internatonal Airlease จำนวน 2 ลำ
HS-TGU “ศรีสุพรรณ”
HS-TGW “ศรีเมือง”
(HS-TGN “ศรีสุพรรณ” ได้คืนสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไปซึ่งได้เกิดอุบัติเหตุในขณะลงจอดที่กาฐมาณฑุภายหลัง)
พ.ศ. 2517 การบินไทยได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังโรม ได้นำระบบการจองที่นั่งด้วยคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ การบินไทยมีพนักงานกว่า 3 พันคน ทำให้เป็นบริษัทที่มีพนักงานมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จึงได้เช่าเครื่อง DC8-63 จากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์จำนวน 3 ลำ
HS-TGX “ศรีสุริโยทัย”
HS-TGY “ปทุมวดี”
HS-TGZ “ศรีอโนชา” (การบินไทยได้ซื้อเครื่องลำนี้จากสายการบินสแกนดิเนเวียเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517)
พ.ศ. 2518 การบินไทยได้เปลี่ยนลัญลักษณ์ใหม่จากตุ๊กตารำไทย ให้เป็นเป็นรูปแบบสากลยิ่งขึ้น อกกแบโดยบริษัท Walter Landor and Associates ซึ่งบริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งในลัญลักษณ์ใหม่ประกอบด้วยสีม่วง สีชมพู และ สีทอง ที่แสดงถึงความงามสง่าของธรรมชาติ และ อารยธรรมไทย และได้เป็นที่ชื่นชมกล่าวขานกันทั่วโลกในเวลาต่อมา และได้เช่าเครื่อง DC10-30 จาก UTA จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง
HS-TGA “พิมรา”
HS-TGB “ศรีวรรณา”
และต่อมาในปีเดียวกัน บริษัทฯ ได้ออกอากาศรายการตอบปัญหาเยาวชนสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย โดยใช้ชื่อว่า รายการ การบินไทยไขจักรวาล ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ก่อนจะยุติรายการเป็นการถาวร ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548
พ.ศ. 2519 การบินไทยต้องการให้กรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการบินของเอเชียซึ่งได้เป็นจริงเมื่อเดินทางจากยุโรปไปออสเตรเลียต้องต่อเครื่องที่กรุงเทพฯ และได้เช่าเครื่อง DC10-30 จากสายการบินเคเอเอ็มจำนวน 1 ลำ
HS-TGC “ศรีวรรณา” (HS-TGB “ศรีวรรณา” ได้คืน UTA ไป)
พ.ศ. 2520 การบินไทยได้ซื้อหุ้นทั้งหมดคืนจากสายการบินสแกนดิเนเวียหลังจากได้ร่วมทุนและร่วมดำเนินการประสบความสำเร็จมานานถึง 17 ปีในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2520 และได้มอบหุ้นที่ซื้อคืนมาให้กับกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง จึงเป็นผู้ร่วมถือหุ้นกับบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ดังนั้นการบินไทยจึงเป็นของคนไทยเต็มตัว ซึ่งการบินไทยมีเครือข่ายเส้นทางบินคลอบคลุมถึง 3 ทวีป มีพนักงานที่มีประสบการณ์สูงและมีฝูงบินที่ทันสมัย และจึงได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง DC-10-30 จำนวน 2 ลำ
HS-TMC “ชัยปราการ”
HS-TMD “หริภุญชัย”
(HS-TGC “ศรีวรรณา” ได้คืนสายการบินเคแอลเอ็มไป) เครื่อง Airbus A300-600 จำนวน 2 ลำ
HS-THH “ศรีเมือง”
HS-THK “สุรนารี”
(HS-TGW “ศรีเมือง” และ HS-TGR “สุรนารี” ได้คืน Internatonal Airlease ไป)
พ.ศ. 2521 การบินไทยได้รับเครื่อง Airbus A300B4-100 จำนวน 2 ลำ
HS-THL “ศรีสุนทร”
HS-THM “เทพสตรี”
(HS-TGP “ศรีสุนทร” ได้คืน Internatonal Airlease ไป)
พ.ศ. 2522 การบินไทยได้ย้ายฝ่ายต่างๆมารวมกันที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต มีเนื้อที่ 26 ไร่ แต่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้สร้างเสร็จทั้งโครงการในพ.ศ. 2532 และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-200 จำนวน 2 ลำ ซึ่งมีจำนวน 371 ที่นั่ง
HS-TGA “วิสุทธกษัตริย์”
HS-TGB “ศิริโสภาคย์”
(HS-TGA “พิมรา” ได้คืน UTA ไป) เครื่อง A300-600 จำนวน 4 ลำ
HS-THN “สุดาวดี”
HS-THO “ศรีจุฬาลักษณ์”
HS-THP “ศรีสุพรรณ”
HS-THR “เทพามาศ”
(HS-THT “สุดาวดี”, HS-TGU “ศรีสุพรรณ” ได้คืน Internatonal Airlease ไปและ HS-TGK “เทพามาศ” ได้คืนสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป) รับเครื่อง DC8-62AF เข้ามาบริการในการส่งสินค้า
พ.ศ. 2523 การบินไทยเปิดเส้นทางข้ามมหาสมุทรแปรซิฟิกไปลอสแอนเจลิสและตะวันออกกลาง จึงได้รับเครื่อง Boeing 747-200 จำนวน 2 ลำ
HS-TGC “ดารารัศมี”
HS-TGF “พิมรา”
พ.ศ. 2524 การบินไทยได้นำบริษัท ไทยแอม (THAI-AM - Thai Aircraft Maintenance Co.) ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการซ่อมใหญ่เครื่องบินทั้งลำมาร่วมกับการบินไทยจากนโยบายของรัฐบาล และได้ทำการเปิดเส้นทางใหม่ไปยังซีแอตเติ้ล และจึงได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-200 จำนวน1 ลำ
HS-TGG “ศรีวรรณา”
เครื่อง Airbus A300B4-200 จำนวน 2 ลำ
HS-THT “จิรประภา”
HS-THW “ศรีสัชนาลัย”
พ.ศ. 2525 การบินไทยได้ประเมินแผนการดำเนินการใหม่เนื่องจากการลดค่าเงินบาททำให้มีผลกระทบกับการดำเนินการของบริษัทแม้ผลการดำเนินการก็ยังมีกำไรอยู่
พ.ศ. 2526 การบินไทยได้ลงทุนในกิจการคลังน้ำมันเครื่องบิน (BAFS - Bangkok Aviation Fuel Services Limited) และกิจการโรงแรม (Royal Orchid Hotel and the Airport Hotel) และเปิดตัวชั้นธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่นักธุรกิจโดยมีที่นั่งที่ใหญ่กว่าชั้นประหยัด และมีห้องรับรองผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง
พ.ศ. 2527 การบินไทยทำให้เชียงใหม่เป็นจุดหยุดพักของเส้นทางกรุงเทพฯ-ฮ่องกง และ ให้หาดใหญ่ เป็นจุดหยุดพักของเส้นทางกรุงเทพฯ-สิงคโปร์ และ ได้รับเครื่อง Boeing 747-200 จำนวน 1 ลำ
HS-TGS “ชัยนารายณ์”
พ.ศ. 2528 การบินไทยได้เปิดศูนย์ซ่อมใหญ่เครื่องบินลำตัวกว้างทั้ง Boeing 747-200 และ Airbus A300-600 ขึ้น ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อซ่อมเครื่องบินของการบินไทย และสายการบินอื่นๆ ซึ่งในช่วงแรกเปิดทำการเพียง 2 โรงซ่อมซึ่งสามารถรองรับ Boeing 747-200 ได้พร้อมกัน แต่ในเวลาต่อมาได้สร้างโรงซ่อมที่ 3 ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ ต่อมายังได้เปิดอาคารคลังสินค้าด้วยซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในคลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และ และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Airbus A300B4-200 จำนวน 2 ลำ
HS-THX “ศรีสุริโยทัย”
HS-THY “ปทุมวดี”
(HS-TGX “ศรีสุริโยทัย”, HS-TGY “ปทุมวดี” ได้คืนสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป) เครื่อง Airbus A300B4-600 จำนวน 3 ลำ
HS-TAA “สุวรรณภูมิ”
HS-TAB “ศรีอโนชา”
HS-TAC “ศรีอยุธยา”
(HS-TGZ “ศรีอโนชา” ได้คืนสายการบินสแกนดิเนเวีย แอร์ไลน์ไป)
พ.ศ. 2529 การบินไทยได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังสต็อกโฮมและตะวันออกกลาง และได้รับเครื่อง Airbus A300B4-600 จำนวน 3 ลำ
HS-TAD “อู่ทอง”
HS-TAE “สุโขทัย”
HS-TAF “ราชสีมา”
พ.ศ. 2530 การบินไทยได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังมาดริดและโอ๊คแลนด์ และท่าอากาศยานดอนเมืองได้เปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ (อาคาร 1) และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-300 จำนวน 2 ลำ
HS-TGD “สุชาดา”
HS-TGE “จุฑามาศ”
เครื่อง DC10-30 จำนวน 2 ลำ
HS-TMA “ขวัญเมือง”
HS-TMB “เทพาลัย”
พ.ศ. 2531 รัฐบาลได้มีมติให้รวมกิจการระหว่าง บริษัท การบินไทย จำกัด เข้ากับบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของการบินไทย ซึ่งทำการบินในประเทศ เป็นบริษัทเดียวกันด้วยเงินทุน 2,230 ล้านบาท ซึ่งมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2531 จึงทำให้เป็นสายการบินแห่งชาติกิจการการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับมอบเครื่องบินจากบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ถึง 11 ลำเป็นการเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งให้การบินไทย แบ่งออกเป็นเครื่อง B737-200 จำนวน 3 ลำ, SHORTS 330-200 จำนวน 4 ลำ, SHORTS 360 จำนวน 2 ลำ, และ Airbus A310-200 จำนวน 2 ลำ ทำให้การบินไทยมีเครื่องทั้งหมดในฝูงบินถึง 41 ลำ มีเส้นทางทั้งหมด 48 เมืองใน 35 ประเทศ ซึ่งมีเมืองในประเทศไทย 23 เมือง และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง DC10-30ER จำนวน 1 ลำ
HS-TMC “ศรีอุบล”
เครื่อง A300-600 จำนวน 1 ลำ
HS-TAG “ศรีนภา”
พ.ศ. 2532 การบินไทยได้เปิดอาคารโภชนาการซึ่งจะใช้ผลิตอาหารให้แก่ผู้โดยสารของการบินไทยและสายการบินอื่นๆที่ใช้บริการ สามารถผลิตอาหารที่สะอาดได้มาตรฐานได้ถึง 20,000 ชุดต่อวัน เป็นอาคารที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย เปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานใหม่ ห้ามให้ทุกเที่ยวบินในประเทศสูบบุหรี่ และได้รับเครื่อง BAE146-300 จำนวน 4 ลำซึ่งเป็นเครื่อง Turbo Fan แบบ 4 เครื่องยนต์ ใช้บินเส้นทางในประเทศ (เครื่องรุ่นนี้ถูกปลดในพ.ศ. 2541 เนื่องจากใช้ค่าใช้จ่ายสูงกับเครื่องบินรุ่นนี้)
HS-TBK “เชียงคำ”
HS-TBL “สุคิริน”
HS-TBM “วัฒนานคร”
HS-TBO “ละหานทราย”
พ.ศ. 2533 การบินไทยได้รับเครื่องบินแบบใหม่ๆเข้ามาบริการซึ่งนับว่าปีนี้เป็นปีที่การบินไทยรับเครื่องบินเข้ามาบริการมากที่สุดโดยได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TGH “ชัยปราการ”
HS-TGJ “หริภุญชัย”
(HS-TMC “ชัยปราการ”, HS-TMD “หริภุญชัย” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 2 ลำ ใช้บินเส้นทางในประเทศ
HS-TDA “สงขลา”
HS-TDB “ภูเก็ต”
เครื่อง ATR-72 จำนวน 4 ลำ ซึ่งเป็นเครื่องใบพัด Turboprop แบบ 2 เครื่องยนต์ ใช้บินเส้นทางในประเทศ
HS-TRA “ลำปาง”
HS-TRB “ชัยนาท”
HS-TRK “สระบุรี”
HS-TRL “อุตรดิตถ์”
เครื่อง Airbus A310-200 จำนวน 2 ลำ
HS-TID “บุรีรัมย์”
HS-TIF “ปัตตานี”
เครื่อง Airbus A300-600 จำนวน 3 ลำ
HS-TAK “พญาไท”
HS-TAL “ศรีตรัง”
HS-TAM “เชียงใหม่”
พ.ศ. 2534 บริษัท การบินไทย ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยทุนจดทะเบียน 14,000 ล้านบาท มีจำนวนหุ้น 1,000 หุ้น ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 จึงเป็น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และยังได้ร่วมเป็นสมาชิกระบบสำรองที่นั่งอะมาดิอุส (AMADEUS) เครือข่ายคอมพิวเตอร์ คลอบคลุมทั่วโลกเชื่อมโยงกับ 98 สายการบิน รวมทั้งตัวแทนการท่องเที่ยวทั่วโลกอีกกว่า 47,500 ราย และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง MD-11 จำนวน 2 ลำ
HS-TMD “พระนคร”
HS-TME “ปทุมวัน”
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TGK “อลงกรณ์”
HS-TGL “เทพราช”
เครื่อง BAE146-300 จำนวน 1 ลำ
HS-TBJ “ชลบุรี”
เครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TDC “นราธิวาส” (เกิดเหตุไฟไหม้ภายหลัง ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544)
(ได้ปลดละวางเครื่อง SHORTS ทั้งหมด)
พ.ศ. 2535 การบินไทยได้ร่วมงานเปิดท่าอากาศยานเชียงรายโดยการใช้เครื่อง Boeing 747-400 บินในเที่ยวบินปฐมฤกษ์ และ ได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TGM “เจ้าพระยา”
HS-TGN “ศรีมงคล”
เครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 3 ลำ
HS-TDD “ชุมพร”
HS-TDE “สุรินทร์”
HS-TDF “ศรีสะเกษ”
เครื่อง MD-11 จำนวน 2 ลำ
HS-TMF “พิจิตร”
HS-TMG “นครสวรรค์”
เครื่อง Airbus A300-600 จำนวน 3 ลำ
HS-TAN “เชียงราย”
HS-TAO “จันทบุรี”
HS-TAP “ปทุมธานี”
เครื่อง Canadair Challenger-601-3A-ER สำหรับฝึกนักบินและเช่าเหมาลำ
HS-TVA “ศรีกาญจน์”
พ.ศ. 2536 การบินไทยได้บริการผู้โดยสารครบ 10 ล้านคน และการบินไทยได้เปิดบริการสะสมไมล์รอยัล ออร์คิด พลัส ซึ่งมีสมาชิกถึง 200,000 คน และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Airbus A300-600 จำนวน 2 ลำ
HS-TAR “ยโสธร”
HS-TAS “ยะลา”
เครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TDG “กาฬสินธ์”
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TGO “บวรรังษี”
เครื่อง MD-11 จำนวน 3 ลำที่สั่งไว้ได้ถูกยกเลิกด้วยเหตุผลบางประการ
พ.ศ. 2537 การบินไทยได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน (Thai Airways International Public Company Limited) และได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังเซี่ยงไฮ้, ลาฮอร์, และจังหวัดนครพนม เปิดระบบให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ในหมายเลข 1566 และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Airbus A330-300 จำนวน 2 ลำซึ่งความจริงต้องรับมอบตามกำหนด 1 ลำแต่ลำที่จะส่งมอบได้เกิดเหตุไฟไหม้เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2537 ทางแอร์บัสจึงส่งเครื่องบินอีกลำให้การบินไทยในเวลาต่อมา
HS-TEB “ศรีสาคร”
HS-TEC “บางระจัน”
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TGP “เทพประสิทธิ์”
พ.ศ. 2538 การบินไทยได้กำหนดคำโฆษณาขึ้นมาใหม่ว่า “การบินไทยต้องเป็นสายการบินแรกที่ผู้โดยสารเลือกในการเดินทาง” หรือ “The First Choice Carrier. Smooth As Silk. First time. Every Time. และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Airbus A330-300 จำนวน 6 ลำ
HS-TEA “มโนรมย์”
HS-TEE “กุสุมาลย์”
HS-TED “ดอนเจดีย์”
HS-TEF “ส่องดาว”
HS-TEG “ลำปลายมาศ”
HS-TEH “สายบุรี”
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TGR “ศิริวัฒนา”
พ.ศ. 2539 การบินไทยได้เปิดเว็บไซต์ http://www.thaiairways.com เป็นครั้งแรก ควีนเอลิซาเบทที่ 2 ได้เสด็จเยี่ยมฝ่ายช่างการบินไทย และ ได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 777-200 จำนวน 4 ลำซึ่งเป็นเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์ และสามารถบินเส้นทางระยะไกลได้
HS-TJA “ลำพูน”
HS-TJB “อุทัยธานี”
HS-TJC “นครนายก”
HS-TED “มุกดาหาร”
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TGT “วัฒโนทัย”
เครื่อง Boeing 747-200F สำหรับส่งสินค้า
พ.ศ. 2540 การบินไทยและสายการบินแอร์ แคนาดา, ลุฟฮันซ่า, สแกนดิเนเวีย, และ ยูไนเต็ด ได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรสตา อัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งการรวมกลุ่มในครั้งนี้เป็นการเพิ่มความแข็งเกร่ง และศักยภาพในการดำเนินธุรกิจการบิน ทำให้การบินไทยสามารถให้บริการผู้โดยสาร และเสนอจุดบินได้มากขึ้น การบินไทยยังได้เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ได้เปิดศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินแห่งที่ 2 ณ ท่าอากาศยานอู่ตะเภาซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 125 กิโลเมตร เนื่องจากการขยายฝูงบินและจำนวนเครื่องบินที่ถึงกำหนดเวลาที่จะต้องเข้าซ่อมบำรุง ทำให้การบินไทยต้องขยายโรงซ่อมเพิ่มขึ้นและที่ดอนเมืองก็ไม่มีเพียงพอแก่การขยายพื้นที่ จึงได้ทำการสร้างขึ้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาเพราะเห็นว่าเป็นที่เหาะสม ถึงแม้จะได้มีการพิจารณาหลายที่แต่ศูนย์ซ่อมที่อู่ตะเภาสามารถนำเครื่องลำตำกว้างเข้าซ่อมพร้อมกันได้ถึง 2 ลำ เครื่องบินขนาดเล็กได้อีก 1 ลำ และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 6 ลำ
HS-TGW “วิสุทธกษัตริย์”
HS-TGX “ศิริโสภาคย์”
(HS-TGA “วิสุทธกษัตริย์” และ HS-TGB “ศิริโสภาคย์” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Boeing 777-200 จำนวน 3 ลำ
HS-TJE “ชัยภูมิ”
HS-TJF “พนมสารคาม”
HS-TJG “ปัตตานี”
เครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TDH “ลพบุรี”
HS-TDJ “นครชัยศรี”
พ.ศ. 2541 การบินไทยได้สนับสนุนขบวน Rose Parade ที่ Pasadena, California เนื่องจากประเทศไทยได้โปรโมตประเทศไทยให้เป็นปี Amazing Thailand และขบวนรถดอกไม้ของการบินไทยก็ได้รับรางวลัด้วย และเ ป็นอีกปีที่การบินไทยรับเครื่องบินเข้ามาบริการเป็นจำนวนมากโดยได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 777-300 จำนวน 2 ลำ
HS-TKA “ศรีวรรณา”
HS-TKB “ชัยนารายณ์”
(HS-TGG “ศรีวรรณา” และ HS-TGS “ชัยนารายณ์” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Boeing 777-200 จำนวน 1 ลำ
HS-TJH “สุพรรณบุรี”
เครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TDK “ศรีสุราษฐ”
HS-TDL “ศรีกาญจน์”
(HS-TVA “ศรีกาญจน์” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Airbus A330-300 จำนวน 3 ลำ
HS-TEJ “สุดาวดี”
HS-TEL “เทพามาศ”
HS-TEK “ศรีจุฬาลักษณ์” (HS-THN “สุดาวดี”, HS-THR “เทพามาศ”, และ HS-THO “ศรีจุฬาลักษณ์” ได้ปลดละวางไป)
เครื่อง Airbus A300-600 จำนวน 5 ลำ
HS-TAZ “ศรีสุพรรณ”
HS-TAT “ศรีเมือง”
HS-TAW “สุรนารี”
HS-TAX “เทพสตรี”
HS-TAY “ศรีสุนทร”
(HS-THP “ศรีสุพรรณ”, HS-THH “ศรีเมือง”, HS-THK “สุรนารี”, HS-THM “เทพสตรี”, และ HS-THL “ศรีสุนทร” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TGY “ดารารัศมี”
(HS-TGC “ดารารัศมี” ได้ปลดละวางไป)
พ.ศ. 2542 การบินไทยได้ทำการเฉลิมฉลองปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุครบ 72 ชันษาโดยการพ่นสีบนเครื่องบิน Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำเป็นรูปเรือสุพรรณหงส์ เครื่องบิน Airbus A330-300 จำนวน 1 ลำเป็นรูปเรือนารายทรงสุบรรณ และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 1 ลำ
HS-TGZ “พิมรา
(HS-TGF “พิมรา” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Boeing 777-300 จำนวน 2 ลำ
HS-TKC “ขวัญเมือง”
HS-TKD “เทพาลัย”
(HS-TMA “ขวัญเมือง” และ HS-TMB “เทพาลัย” ได้ปลดละวางไป)
พ.ศ. 2543 การบินไทยมีอายุครบ 40 ปี และการบินไทยดำเนินการมาด้วยกำไรตลอด 35 ปี (ตั้งแต่ปี 2508) และยังไม่มีปีไหนเลยที่ขาดทุน และได้รับเครื่องบินรุ่นต่างๆเข้ามาบริการดังนี้
เครื่อง Boeing 777-300 จำนวน 2 ลำ
HS-TKE “สุคิริน”
HS-TKF “ละหานทราย”
(HS-TBL “สุคิริน” และ HS-TBO “ละหานทราย” ได้ปลดละวางไป) เครื่อง Airbus A330-300 จำนวน 1 ลำ
HS-TEM "จิรประภา"
(HS-THT “จิรประภา” ได้ปลดละวางไป)
พ.ศ. 2544 การบินไทยได้รับเครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TGA “ศรีสุริโยทัย”
HS-TGB “ศรีสัชนาลัย”
(HS-THX “ศรีสุริโยทัย” และ HS-THW “ศรีสัชนาลัย” ได้ปลดละวางไป)
พ.ศ. 2545 การบินไทยไม่ได้รับเครื่องบินรุ่นใดๆเข้าบริการในปีนี้
พ.ศ. 2546 การบินไทยได้สนับสนุนในการขนส่งแพนด้าจากประเทศจีน โดยส่งเครื่อง Airbus A300-300 ไปรับแพนด้าจากประเทศจีนบินตรงไปยังเชียงใหม่ และรับเครื่อง Boeing 747-400 จำนวน 2 ลำ
HS-TGA “ศรีอุบล”
HS-TGB “ปทุมวดี” (HS-TMC “ศรีอุบล” และ HS-THY “ปทุมวดี” ได้ปลดละวางไป)
พ.ศ. 2547 การบินไทยได้เปิดเส้นทางใหม่ไปยังบังกาลอร์ มิลาน จิงหง และในปีนี้การบินไทยได้ก่อตั้งสายการบินต้นทุนต่ำเพื่อทำการแข่งกับสายการบินต้นทุนต่ำอื่นๆที่กำลังเกิดและนิยมในประเทศไทย ซึ่งได้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2547 โดยมีคุณพาที สารสิน เป็น CEO คนแรก การบินไทยได้ให้นกแอร์เช่าเครื่องบินจากการบินไทยไปบริการโดยเริ่มแรกให้เช่าเครื่อง Boeing 737-400 จำนวน 3 ลำ และต่อมาได้ให้เช่าเครื่อง ATR-72 จำนวน 1 ลำ และ Boeing 737-400 จำนวน 1 ลำ การบินไทยให้นกแอร์เช่าเครื่องบินโดยคิดเป็นชั่วโมงที่ทำการบิน การบินไทยจะดูแลซ่อมบำรุงทั้งหมดให้แก่นกแอร์ ซึ่งเป็นผลดีแก่นกแอร์ในการที่ทราบแน่ชัดว่าใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ในปัจจุบันนกแอร์ได้เช่าเครื่อง Boeing 737-400 มาจากสายการบินมาเลเชียแอร์ไลน์ จำนวน 2 ลำ
HS-TDA "สงขลา"
HS-TDB "ภูเก็ต"
HS-TDE "สุรินทร์"
พ.ศ. 2548 การบินไทยได้มีการปรับปรุงลัญลักษณ์, เครื่องแบบพนักงาน, และลายของเครื่องบินใหม่เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้นเนื่องจากใช้ลายสปีดไลน์ (ลายเก่า) ได้ใช้มานานแล้วปีนี้จึงเป็นปีแรกที่การบินไทยเริ่มเปลี่ยนลายและจะทยอยเปลี่ยนไปจนครบทุกลำ ลัญลักษณ์ใหม่ของการบินไทยเป็นการนำแนวคิดและลวดลายอันอ่อนช้อยงดงามทางด้านศิลปะไทยมาผสมผลานสร้างเป็นรูปแบบลัญลักษณ์ขึ้นเพื่อให้สื่อความหมายภาพลักษณ์ของความเป็นไทยได้อย่างเด่นชัด ซึ่งปรากฏให้เห็นว่าลัญลักษณ์ของการบินไทยมีส่วนร่วมคล้ายคลึงกับกรีบดอกกล้วยไม้หรือกลีบดอกรัก อันถือว่าเป็นดอกไม้ประจำชาติที่งดงามได้โดยบังเอิญ และยังคล้ายคลึงกับใบเสมา ซึ่งเป็นศาสนวัตถุของสำคัญและพบเห็นอยู่เป็นประจำอีกด้วย
สีและความหมาย
สีเหลืองทอง: สื่อความหมายของศิลปะไทยที่ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาอันได้แก่ความระยิบระยับของสีทองตามวัดวาอาราม สีชมพูและสีม่วง: สื่อความหมายของภาพลักษณ์ที่คุ้นตาของคนไทนและคนต่างประเทศ ที่มักพบเห็น 2 สีดังกล่าวจากลายผ้าไหมไทย และ สีดอกกล้วยไม้ ดังนั้นลัญลักษณ์การบินไทย ซึ่งประกอบขึ้นด้วยลวดลาย และ สีสันแบบไทย จึงสามารถแสดงเอกภาพบ่งบอกลักษณะของความเป็นไทยได้อย่างโดดเด่นทีเดียว
การบินไทยยังได้รับเครื่องรุ่น Airbus A340-500 และ Airbus A340-600 ซึ่งภายในได้รับชั้นหนึ่ง, ชั้นธุรกิจ, และชั้นประหยัด เป็นแบบใหม่ ซึ่งเครื่องรุ่น Airbus A340-500 การบินไทยจะใช้บินจากกรุงเทพฯไปนิวยอร์ก และ จากกรุงเทพไปลอสแอนเจลิส ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 โดยไม่แวะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง และยังมีชั้นโดยสารใหม่ล่าสุดคือชั้นประหยัดพิเศษอีกด้วย เครื่องรุ่น A340-600 การบินไทยจะใช้บินในเส้นทางยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย ในบางเส้นทาง เครื่อง Airbus A340-500 จำนวน 4 ลำ
HS-TLA “เชียงคำ”
HS-TLB “อุตรดิตถ์”
HS-TLC “พิษณุโลก”
HS-TLD “กำแพงเพชร” (HS-TBK “เชียงคำ” และ HS-TRL “อุตรดิตถ์” ได้ปลดละวางไป)
เครื่อง Airbus A340-600 จำนวน 6 ลำ
HS-TNA “วัฒนานคร”
HS-TNB “สระบุรี”
HS-TNC “ชลบุรี”
HS-TND “เพชรบุรี”
HS-TNE “นนทบุรี”
HS-TNF ไม่ทราบชื่อ รับมอบในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 (HS-TBM “วัฒนานคร”, HS-TRK “สระบุรี”, และ HS-TBJ “ชลบุรี” ได้ปลดละวางไป)
นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเครื่อง Boeing 747-400 โดยในชั้นหนึ่ง, ชั้นธุรกิจจะเป็นแบบใหม่ จำนวน 12 ลำ ดังนี้
HS-TGH "ชัยปราการ"
HS-TGJ "หริภุญชัย"
HS-TGK "อลงกรณ์"
HS-TGL "เทพราช"
HS-TGM "เจ้าพระยา"
HS-TGN "ศรีมงคล"
HS-TGO "บวรรังษี"
HS-TGP "เทพประสิทธิ์"
HS-TGR "ศิริวัฒนา"
HS-TGT "วัฒโนทัย”
HS-TGW "วิสุทธกษัตริย์"
HS-TGX "ศิริโสภาคย์"
และเครื่อง Boeing 777-200 โดยในชั้นธุรกิจและชั้นประหยัดจะเป็นแบบใหม่ (ชั้นประหยัดได้เปลี่ยนตัวที่นั่งใหม่แต่ไม่มีจอส่วนตัว) จำนวน 8 ลำ ดังนี้
HS-TJA "ลำพูน"
HS-TJB "อุทัยธานี"
HS-TJC "นครนายก"
HS-TJD "มุกดาหาร"
HS-TJE "ชัยภูมิ"
HS-TJF "พนมสารคาม"
HS-TJG "ปัตตานี"
HS-TJH "สุพรรณบุรี"
พ.ศ. 2549 การบินไทยได้จัดงานดอนเมืองรำลึกสู่จุดหมายเดียวแห่งฝัน ณ ท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งเปิดใช้มากว่า 92 ปีจะปิดทำการ และได้ทำการย้ายไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งต้องย้ายอุปกรณ์กว่า 1.8 ล้านชิ้นไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และได้ย้ายหน่วยงานต่างๆเช่นฝ่ายช่างบางส่วน (ฝ่ายช่างด้านซ่อมใหญ่ยังคงอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมืองและอู่ตะเภา) , ฝ่ายครัวการบินไทย, ฝ่ายบริการภาคพื้นดิน, ฝ่ายคลังสินค้า, และฝ่ายปฏิบัติการ ซึ่งการบินไทยได้สร้างอาคาร สถานที่สำหรับรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว และได้ดำเนินการย้ายไปได้อย่างเรียบร้อย การบินไทยยังได้เปิดเส้นทางไปยังโจฮานเนสเบิร์กและรับมอบเครื่อง Boeing 777-200ER โดยในชั้นธุรกิจจะเป็นแบบใหม่ ซึ่งจะมีจอส่วนตัวใหญ่ขึ้น และเมื่อเอนแล้ว ส่วนล่างของตัวที่นั่งจะเอน 180 องศา แต่ส่วนบนเอน 170 องศา จึงทำให้เมื่อนอนแล้วตัวจะไม่ไหลลง จำนวน 4 ลำ ดังนี้
HS-TJR “นครสวรรค์”
HS-TJS “พระนคร”
HS-TJT “ปทุมวัน”
HS-TJU “พิจิตร”
พ.ศ. 2550 ในปีนี้การบินไทยได้รับรางวัลมากมายจาก Skytrax ไม่ว่าจะเป็นรางวัลห้องพักรับรองผู้โดยสารชั้นหนึ่งดีเด่น อันดับที่ 1, สายการบินดีเด่นแห่งปี อันดับที่ 2, และรางวัลลูกเรือดีเด่น อันดับที่ 3 และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย
การบินไทยได้รับมอบเครื่อง Boeing 777-200ER จำนวน 2 ลำ ดังนี้
HS-TJV “นครปฐม”
HS-TJW “เพชรบูรณ์”
และปลดละวางเครื่อง Airbus A300-600 และ Boeing 747-300 ซึ่งมีอายุใช้งานกว่า 20 ปี จำนวน 4 ลำ ดังนี้
HS-TAB “ศรีอโนชา”
HS-TAC “ศรีอยุธยา”
HS-TGD “สุชาดา”
HS-TGE “จุฑามาศ”
และยังได้ปรับปรุงเครื่อง Boeing 777-300 ซึ่งได้เปลี่ยนที่นั่งชั้นธุรกิจ (แบบเดียวกับบนเครื่อง Boeing 777-200ER) และชั้นประหยัดเป็นแบบใหม่ จำนวน 1 ลำ ดังนี้
HS-TKA “ศรีวรรณา”
ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ทางการบินไทยยังได้ออกแคมเปญโฆษณาชุด "คุณคะ คุณครับ เรารักคุณเท่าฟ้า" อีกด้วย
พ.ศ. 2551 เปลี่ยนที่นั่งชั้นธุรกิจเครื่อง Boeing 777-300 (แบบเดียวกับบนเครื่อง Boeing 777-200ER) และชั้นประหยัดเป็นแบบใหม่
HS-TKB “ชัยนารายณ์”
ในปีนี้การบินไทยขาดทุนจากการประกอบกิจการเป็นปีแรกเนื่องจากวิกฤตการเงิน ราคาน้ำมัน วิกฤตการเมืองในประเทศ
พ.ศ. 2552 เปลี่ยนที่นั่งชั้นธุรกิจเครื่อง Boeing 777-300 (แบบเดียวกับบนเครื่อง Boeing 777-200ER) และชั้นประหยัดเป็นแบบใหม่
HS-TKC “ขวัญเมือง”
HS-TKF “ละหานทราย”
HS-TKD “เทพาลัย”
รับมอบเครื่อง Airbus 330-300 รุ่นใหม่ 3 ลำ (รอส่งมอบอีก 5 ลำ) ใช้เครื่องยนต์โรลส์รอย
HS-TEN "สุชาดา"
HS-TEO "จุฑามาศ"
HS-TEP "ศรีอโนชา"
ชั้นธุรกิจคล้ายกับเครื่อง Boeing 777-200ER มีระบบความบันเทิง AVOD แต่ไม่สามารถปรับเอนนอนราบได้ "ยกเว้น HS-TEP ที่ปรับได้เหมือน Boeing 777-200ER"ส่วนHS-TEN และ HS-TEO จะทำการแก้ไขให้นอนราบได้เช่นกัน ระยะห่างระหว่างที่นั่ง (seat pitch) 58 นิ้ว ปรับเอนนอนได้ 130 องศา ในขณะที่ A330-300 รุ่นเก่า 12 ลำแรก ปรับเอนนอนได้ 138 องศา ชั้นประหยัดมีจอโทรทัศน์ส่วนตัวในระบบ AVOD ที่นั่งเหมือนเครื่อง Airbus 330 เครื่องรุ่นนี้จะให้บริการหลักในเส้นทาง ฮ่องกง เพิร์ธ ภูเก็ต โซล ดูไบ เชนไน นาโกยา
พ.ศ. 2553 เปลี่ยนที่นั่งชั้นธุรกิจเครื่อง Boeing 777-300 (แบบเดียวกับบนเครื่อง Boeing 777-200ER) และชั้นประหยัดเป็นแบบใหม่ เสร็จ 5 ลำแล้วเหลือ 1 ลำไม่สามารถทำให้เสร็จได้ เพราะมีปัญหากับบริษัทโคอิโตะจึงนำมาบินในเส้นทาง ธากา ได้แก่ HS-TKE ให้รหัสว่า B77D
การบินไทยให้เครื่องนกแอร์เช่าดังนี้ B737-400 HS-TDF
ATR72-200 HS-TRA HS-TRB
ปลดระวางเครื่องบิน A300-600 2 ลำ HS-TAG HS-TAH
นำเครื่องบินกลับมาปรับปรุงเพื่อใช้งานหนึ่งลำเนื่องจากปลดระวางไม่ได้ A300-600 1 ลำ HS-TAF
การบินไทยได้เช่าเครื่องบินขนส่งสินค้า B777-200LRF 2 ลำ มาบริการในเที่ยวบินกรุงเทพ-ฮ่องกง-อัมสเตอร์ดัม กรุงเทพ-แฟรงเฟิร์ต กรุงเทพ-ดูไบ การบินไทยยกเลิกเส้นทางบินในประเทศได้แก่ พิษณุโลก อุบลราชธานี แม่ฮ่องสอน และยกเลิกเส้นทางระหว่างประเทศคูเวต เมืองคูเวต และกลับมาบินเส้นทางกรุงเทพ-โจฮันเนสเบิร์ก อีกครั้งด้วยเครื่อง B777-200ER เนื่องจากบริษัทโคอิโตะไม่สามารถผ่านเกณฑ์การรับรองความปลอดภัยในการติดตั้งที่นั่งผู้โดยสารทำให้เครื่องบิน A330-300 ล่าช้า การบินไทยจึงได้เช่าเครื่องบินแบบ B777-300ER มาให้บริการจำนวน6ลำ ในเส้นทาง กรุงเทพ-โตเกียว และ กรุงเทพ-ปารีส ในปีนี้การบินไทยได้เพิ่มเที่ยวบินไปปารีส เป็นจำนวน 10 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ การบินไทยมีแผนที่จะปรับปรุงที่นั่งชั้นประหยัดในเครื่องบินแบบ B747-400 ทุกลำ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาสองปี ในปีนี้การบินไทยได้ทำการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท และทำการเป็นตัวเกมบนมือถือ โดยเป็นสายการบินแรกที่ริเริ่มนำเทคโนโลยีมือถือมาใช้เพื่อให้ความบันเทิงและความรวดเร็วในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเช่นตารางการบิน นอกจากนี้ระบบยังมีการแจ้งเตือนขณะเล่นเกมส์เพื่อไม่ให้พลาดการเดินทางหรือการไปรับผู้โดยสารในแต่ละเที่ยวบินอีกด้วย ในปีนี้การบินไทยทำการฟ้องร้องบริษัทโคอิโตะที่ไม่สามารถทำงานตามสัญญาได้ ทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย


ภาพลักษณ์ขององค์กร
การบินไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่มีระเบียบการเปลี่ยนเครื่องแบบ โดยพนักงานต้อนรับหญิงประจำเที่ยวบินระหว่างประเทศจะต้องเปลี่ยนเครื่องแบบจากชุดสูทสีม่วง (สำหรับแต่งกายนอกห้องโดยสาร) เป็นชุดไทยประเพณี (เห็นได้จากโฆษณาของสายการบิน) ขณะต้อนรับผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องบิน และต้องเปลี่ยนกลับเป็นชุดสูทเมื่อนำผู้โดยสารออกจากเครื่องบิน


ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน
ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา (จังหวัดระยอง) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (จังหวัดสมุทรปราการ)และ ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพมหานคร


ฝูงบิน


ตามข้อมูลเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 อายุเฉลี่ยของฝูงบินของการบินไทยอยู่ที่ 12.1 ปี
การบินไทยสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัส เอ 380 ซึ่งจะส่งมอบตั้งแต่ พ.ศ. 2555-2556 เพื่อใช้ในเที่ยวบินไปแฟรงค์เฟิร์ท, ปารีส และลอนดอน ซึ่งยังไม่สามารถเพิ่มความถี่ได้
การบินไทยมีแผนจะปลดระวางเครื่องบิน 25 ลำ และจัดหาเครื่องบินใหม่ 15 ลำใน ปี พ.ศ. 2553-2557 โดยแบ่งเป็น การเช่าเครื่องบินเพื่อบินระหว่างทวีป 8 ลำ จำนวน350ที่นั่ง และ จัดซื้อเครื่องบินเพื่อบินในภูมิภาค 7 ลำ จำนวน 300 ที่นั่ง
แผนระยะที่ 1 พ.ศ. 2553-2560 การบินไทยมีแผนที่จะปลดระวางเครื่องบิน 50 ลำ และจัดหาเครื่องบินใหม่ 45 ลำ
แบ่งเป็นปลดระวาง Boeing747-400 6 ลำ และปรับปรุงที่นั่งในชั้นทุกชั้น จำนวน 12 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2555-2556 ปลดระวาง A300-600 13 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2554-2558 การบินไทยทดแทนด้วย A330-300 8 ลำ การส่งมอบเริ่มใน พ.ศ. 2554 ปลดระวาง Boeing 737-400 9 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2557-2558 ปลดระวาง ATR72-201 2 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2560 (ปัจจุบันให้นกแอร์เช่า)ปลดระวาง A340-500 4 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2555-2556 ปลดระวาง A340-600 6 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2558-2560 ปลดระวาง B777-300ER 5 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2558 เนื่องจากหมดสัญญาเช่าปลดระวาง B777-200 2 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2560 ปลดระวาง A330-300 2 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2560 ปลดระวาง ATR72-201 2 ลำ จะปลดระวางระหว่าง พ.ศ. 2560
จัดหาเข้าประจำการ A330-300 8 ลำ มาครบแล้วในปี พ.ศ. 2554 A320-200 เช่าซื้อ 6 ลำ พ.ศ. 2555-2556 ซื้อ 5 ลำ พ.ศ. 2557-2558 B777-300ER ซื้อ 6 ลำ พ.ศ. 2557-2558 A350-900 ซื้อ 4 ลำ พ.ศ. 2559-2560 เช่าซื้อ 8 ลำโดยแบ่งเป็น 6 ลำ เช่าซื้อจาก (ALAFCO) ส่งมอบ พ.ศ. 2559 และ 2 ลำ เช่าซื้อจาก (CIT) ส่งมอบ พ.ศ. 2560 B787-800 เช่าซื้อ 6 ลำ พ.ศ. 2557-2558 B787-900 เช่าซื้อฺ 2 ลำ พ.ศ. 2560


คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในการเปลี่ยนแหล่งเงินทุนในการซื้อเครื่องบินแอร์บัส 330 รุ่น A330-343X ของการบินไทย จากเดิมที่เห็นชอบให้จัดหาโดยวิธีการเช่าซื้อ โดยใช้เครื่องบินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการจัดหาเงินกู้ เปลี่ยนเป็นการซื้อเครื่องบินด้วยเงินทุนในรูปแบบอื่นเพื่อเพิ่มทางเลือกให้การบินไทยได้พิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะตลาดเงินและตลาดทุนเพื่อความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในการดำเนินการมากยิ่งขึ้น


บริการในห้องโดยสาร
การบินไทยแบ่งการให้บริการออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่
รอยัลเฟิร์สคาร์ส
รอยัล พรีเมี่ยม
รอยัล ซิลค์เวอร์
พรีเมี่ยม
ธุรกิจ
ประหยัด

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อังกฤษ: Magha Puja) เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย[1] "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (มักอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ หรือเดือนมีนาคม) ถ้าในปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4)

วันมาฆบูชา ได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่าม กลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรง อภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4

เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลใน วันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรมีการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น โดยการประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือมีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ มีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น โดยในช่วงแรกพิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป จนต่อมาความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร

ปัจจุบันวันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากปัจจุบันสังคมไทยวัยรุ่นสาวมักจะเสียตัวในวันวาเลนไทน์หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน

สำหรับในปี พ.ศ. 2555 นี้ วันมาฆบูชาจะตรงกับ วันพุธที่ 7 มีนาคม ตามปฏิทินสุริยคติ

ความสำคัญ

"วันมาฆบูชา" เป็นวันที่ระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์แก่มหาสังฆสันนิบาตในมณฑลวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งในวันนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 4 ประการคือ

  1. พระสงฆ์ 1,250 รูปที่พระพุทธองค์ได้ส่งไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาตามแว่นแคว้นต่างๆ ได้กลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย
  2. พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุที่พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น ซึ่งเรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา
  3. พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ คือผู้ได้อภิญญา 6 ข้อ
  4. วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3)

ด้วยเหตุการณ์ประจวบกับ 4 อย่าง จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า จาตุรงคสันนิบาต (มาจากศัพท์บาลี จตุ+องฺค+สนฺนิปาต แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้งสี่ประการ) โดยประชุมกัน ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว 9 เดือน (45 ปี ก่อนพุทธศักราช)

มูลเหตุ

หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และได้ทรงประกาศพระศาสนาและส่งพระอรหันตสาวกออกไปจาริกเพื่อเผยแพร่พระพุทธ ศาสนายังสถานที่ต่าง ๆ ล่วงแล้วได้ 9 เดือน ในวันที่ใกล้พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) พระอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้นต่างได้ระลึกว่า วันนี้เป็นวันสำคัญของศาสนาพราหมณ์ อันเป็นศาสนาของตนอยู่เดิม ก่อนที่จะหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และในลัทธิศาสนาเดิมนั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนมาฆะ เหล่าผู้ศรัทธาพราหมณลัทธินิยมนับถือกันว่าวันนี้เป็นวันศิวาราตรี โดยจะทำการบูชาพระศิวะด้วยการลอยบาปหรือล้างบาปด้วยน้ำ แต่มาบัดนี้ตนได้เลิกลัทธิเดิมหันมานับถือพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรเดินทางไปเข้าเฝ้าบูชาฟังพระสัทธรรมจากพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เหล่านั้นซึ่งเคยปฏิบัติศิวาราตรีอยู่เดิม จึงพร้อมใจกันไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมาย

จาตุรงคสันนิบาต

โดยพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นต่างไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ อันเป็นที่ประทับ โดยมีคณะทั้ง 4 คือ คณะศิษย์ของชฎิล 3 พี่น้อง คือ คณะพระอุรุเวลกัสสปะ (มีศิษย์ 500 องค์) คณะพระนทีกัสสปะ (มีศิษย์ 300 องค์) คณะพระคยากัสสปะ (มีศิษย์ 200 องค์) และคณะของพระอัครสาวกคือคณะพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ (มีศิษย์ 250 องค์) รวมนับจำนวนได้ 1,250 รูป (จำนวนนี้ไม่ได้นับรวมชฎิล 3 พี่น้อง และพระอัครสาวกทั้งสอง)

การเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในวันมาฆฤกษ์นี้ เป็นไปโดยมิได้มีการนัดหมาย และเป็นการเข้าประชุมของพระอรหันต์จำนวนมากเป็นมหาสังฆสันนิบาต และประกอบด้วย "องค์ประกอบอัศจรรย์ 4 ประการ" คือ พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 องค์นั้น ได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นพระสงฆ์ได้รับการอุปสมบทจาก พระพุทธเจ้าโดยตรง , พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6 และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4 ดังกล่าวแล้ว

ทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์

ดูบทความหลักที่ โอวาทปาฏิโมกข์

พระพุทธเจ้าเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นมหาสังฆสันนิบาตอันประกอบไปด้วยเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว จึงทรงเห็นเป็นโอกาสอันสมควรที่จะแสดง "โอวาทปาฏิโมกข์" อันเป็นหลักคำสอนสำคัญที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาแก่ที่ประชุมพระสงฆ์เหล่า นั้น เพื่อวางจุดหมาย หลักการ และวิธีการ ในการเข้าถึงพระพุทธศาสนาแก่พระอรหันตสาวกและพุทธบริษัททั้งหลาย พระพุทธองค์จึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์เป็นพระพุทธพจน์ 3 คาถากึ่ง ท่ามกลางมหาสังฆสันนิบาตนั้น มีใจความดังนี้

  • พระพุทธพจน์คาถาแรกทรงกล่าวถึง พระนิพพาน ว่าเป็นจุดมุ่งหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของบรรพชิตและพุทธบริษัท อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ดังพระบาลีว่า "นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา"
  • พระพุทธพจน์คาถาที่สองทรงกล่าวถึง "วิธีการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้ง ปวงโดยย่อ" คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี และการทำจิตของตนให้ผ่องใสเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง ส่วนนี้เองของโอวาทปาฏิโมกข์ที่พุทธศาสนิกชนมักท่องจำกันไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งคาถาในสามคาถากึ่งของโอวาทปาฏิโมกข์เท่านั้น
  • ส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดท้าย ทรงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติของพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา 6 ประการ คือ การไม่กล่าวร้ายใคร, การไม่ทำร้ายใคร , การมีความสำรวมในปาฏิโมกข์ทั้งหลาย, การเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร และการรู้จักที่นั่งนอนอันสงัด

สถานที่สำคัญเนื่องด้วยวันมาฆบูชา (พุทธสังเวชนียสถาน)

จุดหมายแสวงบุญใน
แดนพุทธภูมิ
Dharma wheel.svg
พุทธสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
ลุมพินีวันพุทธคยา
สารนาถกุสินารา
เมืองสำคัญในสมัยพุทธกาล
สาวัตถีราชคฤห์
สังกัสสะเวสาลี
ปาฏลีบุตรคยา
โกสัมพีกบิลพัสดุ์
เทวทหะเกสเรียสถูป
ปาวาพาราณสี
นาลันทา
อารามสำคัญในสมัยพุทธกาล
วัดเวฬุวันมหาวิหาร
วัดเชตวันมหาวิหาร
สถานที่สำคัญหลังพุทธกาล
สาญจิมถุรา
ถ้ำเอลโลราถ้ำอชันตา
มหาวิทยาลัยนาลันทา
ดูบทความหลักที่ ราชคฤห์ และ วัดเวฬุวันมหาวิหาร

เหตุการณ์สำคัญที่เกิดในวันมาฆบูชา เกิดภายในบริเวณที่ตั้งของ "กลุ่มพุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวิหาร" ภายในอาณาบริเวณของวัดเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งลานจาตุรงคสันนิบาตอันเป็นจุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชานั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงและหาข้อสรุปทางโบราณคดีไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

วัดเวฬุวันมหาวิหาร

"วัดเวฬุวันมหาวิหาร" เป็นอาราม (วัด) แห่งแรกในพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ใกล้เชิงเขาเวภารบรรพต บนริมฝั่งแม่น้ำสรัสวดีซึ่งมีตโปธาราม (บ่อน้ำร้อนโบราณ) คั่นอยู่ระหว่างกลาง นอกเขตกำแพงเมืองเก่าราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแคว้นมคธ) รัฐพิหาร ประเทศอินเดียในปัจจุบัน (หรือ แคว้นมคธ ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาล

วัดเวฬุวันในสมัยพุทธกาล

เดิมวัดเวฬุวันเป็นพระราชอุทยานสำหรับเสด็จประพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นสวนป่าไผ่ร่มรื่นมีรั้วรอบและกำแพงเข้าออก เวฬุวันมีอีกชื่อหนึ่งปรากฏในพระสูตรว่า "พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน"[11] หรือ "เวฬุวันกลันทกนิวาป" (สวนป่าไผ่สถานที่สำหรับให้เหยื่อแก่กระแต) [12] พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยาน[13]แห่งนี้เป็นวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้สดับพระธรรมเทศนาอนุปุพพิกถาและจตุราริยสัจจ์[14] ณ พระราชอุทยานลัฏฐิวัน (พระราชอุทยานสวนตาลหนุ่ม) โดยในครั้งนั้นพระองค์ได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลใน พระพุทธศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิวาปสถานไม่นาน อารามแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์ประชุมจาตุรงคสันนิบาตครั้ง ใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเป็นเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา

วัดเวฬุวันหลังการปรินิพพาน

หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน วัดเวฬุวันได้รับการดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกุฎีที่ มีพระสงฆ์เฝ้าดูแลทำการปัดกวาดเช็ดถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที่ ๆ พระพุทธเจ้าเคยประทับอยู่ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่มิได้ขาด โดยมีการปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันกว่าพันปี

แต่จากเหตุการณ์ย้ายเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครั้งในช่วง พ.ศ. 70 ที่เริ่มจากอำมาตย์และราษฎรพร้อมใจกันถอดกษัตริย์นาคทัสสก์แห่งราชวงศ์ของ พระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราชบัลลังก์ และยกสุสูนาคอำมาตย์ซึ่งมีเชื้อสายเจ้าลิจฉวีในกรุงเวสาลีแห่งแคว้นวัชชี เก่า ให้เป็นกษัตริย์ตั้งราชวงศ์ใหม่แล้ว พระเจ้าสุสูนาคจึงได้ทำการย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธไปยังเมืองเวสาลีอันเป็น เมืองเดิมของตน และกษัตริย์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุสูนาค ได้ย้ายเมืองหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมืองเวสาลีไปยังเมืองปาตลีบุตร ทำให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสำคัญลงและถูกทิ้งร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัดเวฬุวันขาดผู้อุปถัมภ์และถูกทิ้งร้างอย่าง สิ้นเชิงในช่วงพันปีถัดมา

โดยปรากฏหลักฐานบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ที่ได้เข้ามาสืบศาสนาในพุทธภูมิในช่วงปี พ.ศ. 942 - 947 ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ที่ ๒ (พระเจ้าวิกรมาทิตย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซึ่งท่านได้บันทึกไว้ว่า เมืองราชคฤห์อยู่ในสภาพปรักหักพัง แต่ยังทันได้เห็นมูลคันธกุฎีวัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมีพระภิกษุหลายรูปช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการบันทึกถึงสถานที่เกิดเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตแต่ประการ ใด

แต่หลังจากนั้นประมาณ 200 ปี วัดเวฬุวันก็ถูกทิ้งร้างไป ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง (Hiuen-Tsang) ​ซึ่งได้จาริกมาเมืองราชคฤห์ราวปี พ.ศ. 1300 ซึ่งท่านบันทึกไว้แต่เพียงว่า ท่านได้เห็นแต่เพียงซากมูลคันธกุฎีซึ่งมีกำแพงและอิฐล้อมรอบอยู่เท่านั้น (ในสมัยนั้นเมืองราชคฤห์โรยราถึงที่สุดแล้ว พระถังซำจั๋งได้แต่เพียงจดตำแหน่งที่ตั้งทิศทางระยะทางของสถูปและโบราณสถาน เก่าแก่อื่น ๆ ในเมืองราชคฤห์ไว้มาก ทำให้เป็นประโยชน์แก่นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีในการค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมืองราชคฤห์ในปัจจุบัน)

จุดแสวงบุญและสภาพของวัดเวฬุวันในปัจจุบัน

ปัจจุบันหลังถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่าพันปี และได้รับการบูรณะโดยกองโบราณคดีอินเดียในช่วงที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนินดินโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขุดค้นอีกมาก สถานที่สำคัญ ๆ ที่พุทธศาสนิกชนในปัจจุบันนิยมไปนมัสการคือ "พระมูลคันธกุฎี" ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำการขุดค้น เนื่องจากมีกุโบร์ของชาวมุสลิมสร้าง ทับไว้ข้างบนเนินดิน, "สระกลันทกนิวาป" ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้ทำการบูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ "ลานจาตุรงคสันนิบาต" อันเป็นลานเล็ก ๆ มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่ กลางซุ้ม ลานนี้เป็นจุดสำคัญที่ชาวพุทธนิยมมาทำการเวียนเทียนสักการะ (ลานนี้เป็นลานที่กองโบราณคดีอินเดียสันนิษฐานว่าพระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาท ปาฏิโมกข์ในจุดนี้) [16]

จุดที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา (ลานจาตุรงคสันนิบาต)

ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตจะเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่เกิดใน บริเวณวัดเวฬุวันมหาวิหาร แต่ทว่าไม่ปรากฏรายละเอียดในบันทึกของสมณทูตชาวจีนและในพระไตรปิฎกแต่ อย่างใดว่าเหตุการณ์ใหญ่นี้เกิดขึ้น ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทั้งจากการขุดค้นทางโบราณคดีก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการทำเครื่องหมาย (เสาหิน) หรือสถูประบุสถานที่ประชุมจาตุรงคสันนิบาตไว้แต่อย่างใด (ตามปกติแล้วบริเวณที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณหรือเสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชสร้าง หรือปักไว้เพื่อเป็นเครื่องหมายสำคัญสำหรับผู้แสวงบุญ) ทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทราบโดยแน่ชัดว่าเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตเกิดขึ้น ในจุดใดของวัด

ในปัจจุบันกองโบราณคดีอินเดียได้แต่เพียงสันนิษฐานว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในบริเวณลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป" (โดยสันนิษฐานเอาจากเอกสารหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆ์ประชุมกัน มากถึงสองพันกว่ารูป และเกิดในช่วงที่พระพุทธองค์พึ่งได้ทรงรับถวายอารามแห่งนี้ การประชุมครั้งนั้นคงยังต้องนั่งประชุมกันตามลานในป่าไผ่ เนื่องจากเสนาสนะหรือโรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้สร้างขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันลานด้านทิศตะวันตกของสระกลันทกนิวาป เป็นลานกว้างลานเดียวในบริเวณวัดที่ไม่มีโบราณสถานอื่นตั้งอยู่) โดยได้นำพระพุทธรูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บริเวณซุ้มเล็ก ๆ กลางลาน และเรียกว่า "ลานจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งในปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริงอยู่ ในจุดใด และยังคงมีชาวพุทธบางกลุ่มสร้างซุ้มพระพุทธรูปไว้ในบริเวณอื่นของวัดโดย เชื่อว่าจุดที่ตนสร้างนั้นเป็นลานจาตุรงคสันนิบาตที่แท้จริง แต่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชื่อตามข้อสันนิษฐานของกองโบราณคดีอินเดีย ดังกล่าว โดยนิยมนับถือกันว่าซุ้มพระพุทธรูปกลางลานนี้เป็นจุดสักการะของชาวไทยผู้มา แสวงบุญจุดสำคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ่งคือพระมูลคันธกุฎีบนยอดเขาคิชฌกูฏ

กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันมาฆบูชา

โดยก่อนทำการเวียนเทียนพุทธศาสนิกชนควรร่วมกันกล่าวคำสวดมนต์และคำบูชาใน วันมาฆบูชา โดยปกติตามวัดต่าง ๆ จะจัดให้มีการทำวัตรสวดมนต์ก่อนทำการเวียนเทียน ซึ่งส่วนใหญ่นิยมทำการเวียนเทียนอย่างเป็นทางการ (โดยมีพระภิกษุสงฆ์นำเวียนเทียน) ในเวลาประมาณ 20 นาฬิกา โดยบทสวดมนต์ที่พระสงฆ์นิยมสวดในวันมาฆบูชาก่อนทำการเวียนเทียนนิยมสวด (ทั้งบาลีและคำแปล) ตามลำดับดังนี้

  1. บทบูชาพระรัตนตรัย (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อรหัง สัมมา ฯลฯ)
  2. บทนมัสการนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า (นะโม ฯลฯ ๓ จบ)
  3. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อิติปิโส ฯลฯ)
  4. บทสรรเสริญพระพุทธคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:องค์ใดพระสัมพุทธ ฯลฯ)
  5. บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สวากขาโต ฯลฯ)
  6. บทสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:ธรรมมะคือ คุณากร ฯลฯ)
  7. บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สุปฏิปันโน ฯลฯ)
  8. บทสรรเสริญพระสังฆคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯลฯ)
  9. บทสวดบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อัชชายัง ฯลฯ)

จากนั้นจุดธูปเทียนและถือดอกไม้เป็นเครื่องสักการะบูชาในมือ แล้วเดินเวียนรอบปูชนียสถาน 3 รอบ โดยขณะที่เดินนั้นพึงตั้งจิตให้สงบ พร้อมสวดระลึกถึงพระพุทธคุณ ด้วยการสวดบทอิติปิโส (รอบที่หนึ่ง) ระลึกถึงพระธรรมคุณ ด้วยการสวดสวากขาโต (รอบที่สอง) และระลึกถึงพระสังฆคุณ ด้วยการสวดสุปะฏิปันโน (รอบที่สาม) จนกว่าจะเวียนจบ 3 รอบ จากนั้นนำธูปเทียนดอกไม้ไปบูชาตามปูชนียสถานจึงเป็นอันเสร็จพิธี

การกำหนดให้วันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย

การประกอบพิธีในวันมาฆบูชาได้เริ่มมีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงเล็งเห็นว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ ในพระพุทธศาสนา คือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ฯลฯ ควรจะได้มีการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยในครั้งแรกนั้นได้ทรงกำหนดเป็นเพียงการพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลเป็นการภายใน แต่ต่อมาประชาชนก็ได้นิยมนำพิธีนี้ไปปฏิบัติสืบต่อมาจนกลายเป็นวันประกอบ พิธีสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่งไป

เนื่องจากในประเทศไทย พุทธศาสนิกชนได้มีการประกอบพิธีในวันมาฆบูชาสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัชกาล ที่ 4 และนับถือกันโดยพฤตินัยว่าวันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนาของ ประเทศไทยมาตั้งแต่นั้น โดยเมื่อถึงวันนี้พุทธศาสนิกชนจะร่วมใจกันประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ กันเป็นงานใหญ่ ดังนั้นเมื่อถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงทรงประกาศให้วันมาฆบูชาเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ สำหรับชาวไทยจะได้ร่วมใจกันบำเพ็ญกุศลในวันมาฆบูชาโดยพร้อมเพรียง

ในปัจจุบันยังคงปรากฏการประกอบพิธีมาฆบูชาอยู่ในประเทศไทยและประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย เช่น ลาว และกัมพูชา (ซึ่งเป็นส่วนที่ไทยได้เสียให้แก่ฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5) โดยไม่ปรากฏว่ามีการประกอบพิธีนี้ในประเทศพุทธมหายานอื่นหรือประเทศพุทธเถรวาทนอกนี้ เช่น พม่า และศรีลังกา ซึ่งคงสันนิษฐานได้ว่า พิธีมาฆบูชานี้เริ่มต้นจากการเป็นพระราชพิธีของราชสำนักไทยและได้ขยายไปเฉพาะในเขตราชอาณาจักรสยามในเวลานั้น ต่อมาดินแดนไทยในส่วนที่เป็นประเทศลาวและกัมพูชาได้ตกเป็นดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชในเวลาต่อมา พุทธศาสนิกชนใน ประเทศทั้งสองที่ได้รับคตินิยมการปฏิบัติพิธีมาฆบูชาตั้งแต่ยังเป็นส่วน หนึ่งของราชอาณาจักรสยาม คงได้ถือปฏิบัติพิธีมาฆบูชาอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้มีการยกเลิก จึงทำให้คงปรากฏพิธีมาฆบูชาในประเทศดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน

การประกอบพิธีทางศาสนาในวันมาฆบูชา

พระราชพิธี

พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวันมาฆบูชานี้ โดยปกติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นองค์ประธานในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล และบางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทน โดยสถานที่ประกอบพระราชพิธีจะจัดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สำนักพระราชวังจะออกหมายกำหนดการประกาศการพระราชพิธีนี้ให้ทราบทั่วไปเป็น ประจำทุกปี ในอดีตจะใช้ชื่อเรียกการพระราชพิธีในราชกิจจานุเบกษาแตกต่างกัน บางครั้งจะใช้ชื่อ "การพระราชกุศลมาฆบูชาจาตุรงคสันนิบาต"หรือ "การพระราชกุศลมาฆบูชา"มาฆบูชา" ส่วนในรัชกาลปัจจุบัน สำนักพระราชวังจะใช้ชื่อเรียกหมายกำหนดการที่ชัดเจน เช่น "หมายกำหนดการ พระราชกุศลมาฆบูชา พุทธศักราช ๒๕๒๒"

รายละเอียดการประกอบพระราชพิธีนี้ในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน[25] ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชาธิบายเกี่ยวกับการพระราชพิธีในเดือนสาม คือพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลในวันมาฆบูชาไว้ มีใจความว่า

“เวลาเช้า พระสงฆ์วัดบวรนิเวศและวัดราชประดิษฐ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำเสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่อง นมัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเหมือนอย่างที่วัด แล้วจึงได้สวดมนต์ต่อไป มีสวดคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ด้วย สวดมนต์จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีประโคมด้วยอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงมีเทศนาโอวาทปาฏิโมกข์กัณฑ์ ๑ เป็นเทศนาทั้งภาษามคธและภาษาสยาม เครื่องกัณฑ์จีวรเนื้อดีผืนหนึ่ง เงิน ๓ ตำลึงและขนมต่าง ๆ เทศน์จบพระสงฆ์สวดมนต์รับสัพพี ๓๐ รูป”

ในรัชกาลต่อมาได้มีการลดทอดพิธีบางอย่างออกไปบ้าง เช่น ยกเลิกการถวายภัตตาหารพระสงฆ์ในเวลาเช้า หรือการจุดเทียนราย 1,250 เล่ม เป็นต้น แต่ก็ยังคงมีการบำเพ็ญพระราชกุศลในวัดพระศรีรัตนศาสดารามเหมือนเคย โดยในบางปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลมาฆบูชาและทรง เวียนเทียนรอบพุทธศาสนสถานเป็นการส่วนพระองค์ตามพระอารามหลวงหรือวัดราษฎร์ อื่น ๆ บ้าง ตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งการพระราชพิธีนี้เป็นการแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอันแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา ขององค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

พิธีสามัญ

การประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเนื่องในวันมาฆบูชาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยทั่วไปนิยมทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียนรอบอุโบสถหรือ สถูปเจดีย์พุทธสถานต่าง ๆ ภายในวัด เพื่อเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธศาสนาในวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3

พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมนับถือเอาวันนี้เป็นวันสำคัญในการละเว้นความชั่ว บำเพ็ญความดี ทำใจให้ผ่องใส ตามแนวทางพระบรมพุทโธวาท โดยมีแนวปฏิบัติในการประกอบพิธีในวันมาฆบูชาคล้ายกับการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา คือมีการตั้งใจบำเพ็ญกุศลทำบุญตักบาตรฟัง พระธรรมเทศนาและเจริญจิตตภาวนาในวันนี้ เมื่อตกกลางคืนก็มีการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชาตามอารามต่าง ๆ และอาจมีการบำเพ็ญปกิณณกะกุศลต่าง ๆ ตลอดคืนตามแต่จะเห็นสมควร

การประกอบพิธีวันมาฆบูชาในปัจจุบันนี้นอกจากการเวียนเทียน ทำบุญตักบาตรฯ ในวันสำคัญแล้ว ยังมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรทางศาสนา และภาคประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมากมาย เพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและประชาสัมพันธ์กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน เช่น กิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาวันมาฆบูชา ณ ท้องสนามหลวง หรือตามวัดในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น

วันสำคัญอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับวันมาฆบูชา

วันคล้ายวันปลงพระชนมายุสังขาร

ดูบทความหลักที่ การปลงพระชนมายุสังขาร

นอกจากเหตุการณ์จาตุรงคสันนิบาตในวันเพ็ญเดือน 3 ในพรรษาแรกของพระพุทธเจ้าแล้ว ในวันเพ็ญเดือน 3 แห่งพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า (คราวที่ทรงพระชนมายุ 80 พรรษา) ก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นอีกเหตุการณ์หนึ่งคือ พระพุทธองค์ได้ทรง "ปลงพระชนมายุสังขาร" พระศาสดาเสด็จพักผ่อนกลางวัน ณ ปาวาลเจดีย์ ทรงแสดงนิมิตโอภาสแก่พระอานนท์ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาท 4 ประการ อาจมีอายุยืนได้ถึงกัป แต่พระอานนท์มิได้ทูลอาราธนา เมื่อพระอานนท์ออกไป มารจึงได้มาอาราธนาให้นิพพาน พระองค์ทรงมีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ว่า อีก 3 เดือนจะเสด็จปรินนิพพาน เกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อพระอานนท์ทราบ จึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงพระชนม์ชีพอยู่อีก แต่พระศาสดาตรัสว่า มิใช่กาล เพราะได้ทรงแสดงนิมิตแล้วถึง 16 ครั้ง ทรงทำนายว่าในวันเพ็ญเดือน 6 ที่จะมาถึง พระองค์จะเข้าสู่มหาปรินิพพาน จึง "ถือได้ว่าวันมาฆบูชาเป็นวันคล้ายวันสำคัญของพระพุทธศาสนาสองเหตุการณ์สำคัญ คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ และวันที่ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขาร" (แต่โดยทั่วไปจะทราบแต่เพียงว่าวันนี้เป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปา ฏิโมกข์)

วันกตัญญูแห่งชาติ (ประเทศไทย)

ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา (ที่อาจถือได้ว่าเป็นวันแห่งความรักของพระพุทธศาสนา) โดยถือว่าเหตุการณ์สำคัญที่เหล่าพระสาวกทั้ง 1,250 รูป ได้กลับมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยความรักในพระองค์หลังจากได้ออกไปเผยแพร่ พระศาสนาโดยมิได้นัดหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวทีอัน บริสุทธิ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาในปฏิทินจันทรคติในวันเพ็ญเดือนสาม มักจะตกใกล้กับช่วง"เทศกาลวาเลนไทน์" อันเป็นเทศกาลวันแห่งความรักของคริสต์ศาสนา ซึ่งวัยรุ่นไทยบางกลุ่มมักยึดถือคติค่านิยมวันแห่งความรักในวันวาเลนไทน์ผิด ๆ โดยนิยมยึดถือกันว่าเป็นวันแห่งความรักของคนหนุ่มสาว หรือแม้กระทั่งถือว่าเป็น "วันเสียตัวแห่งชาติ" ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่านิยมทางจริยธรรมและศีลธรรมของวัยรุ่นไทย รัฐบาลไทยในสมัยนั้นจึงได้ประกาศให้วันมาฆบูชาเป็นวันกตัญญูแห่งชาติ "เพื่อส่งเสริมค่านิยมที่เหมาะสมแก่วัยรุ่นไทย ให้หันมาสนใจกับความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน" แทนที่จะไปมัวเมากับความรักใคร่ชู้สาวหรือเรื่องฉาบฉวยทางเพศของหนุ่มสาว อันจะก่อให้เกิดปัญหาแก่สังคมตามมา

การผลักดันให้มีวันกตัญญูแห่งชาติ มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 โดยเคยมีการตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณากำหนดให้มีวันกตัญญู แห่งชาติ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยอ้างว่าในประเทศไทยมีวันสำคัญแห่งชาติที่เกี่ยวกับการแสดงความกตัญญูมาก พอแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2549 ได้มีการรวมตัวของนักพูดชื่อดังหลายท่าน เช่น ดร.ผาณิต กันตามระ นายสุรวงศ์ วัฒนกุล ดร.อภิชาติ ดำดี นายเฉลิมชัย จารุไพบูลย์ ดร.โอภาส กิจกำแหง และนายถาวร โชติชื่น เป็นต้น ซึ่งท่านเหล่านี้ได้ทำหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ให้ส่งเสริมให้วันมาฆบูชาเป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกวันหนึ่งด้วย โดยได้รับการตอบรับจากผู้เกี่ยวข้อง

โดยวันกตัญญูแห่งชาตินี้ นอกจากจะมีขึ้นเพื่อเป็นการแสดงออกถึงวันแห่งความรักอันบริสุทธิ์ของชาวพุทธ แล้ว ยังมีขึ้นเพื่อส่งเสริมค่านิยมให้คนไทยยึดถือความกตัญญู โดยอาจมีการพูดคุย ส่งการ์ดอวยพร มอบของขวัญหรือช่อดอกไม้แก่ผู้มีพระคุณของเรา เป็นการแสดงความระลึกถึงพระคุณด้วยความหวังดีของผู้ให้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ การแสดงออกซึ่งน้ำใจหรือคำพูดก็ตาม